ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก "เริม" ในเบื้องต้นกันก่อนนะคะ "เริม" เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes simplex virus) จัดเป็นโรคผิวหนังที่หลายท่านรู้จักกันดี และพบได้บ่อยมากขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ค่ะ
1. เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (Herpes simplex virus type 1 = HSV I) ชนิดนี้มักพบว่า ทำให้เกิดโรคเริมที่ริมฝีปาก และรอบๆ ปากได้บ่อย
2. เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (Herpes simplex virus type 1 = HSV II) ชนิดนี้มักพบว่า จะทำให้เกิดโรคเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ ก้น ในร่มผ้าไดบ่อย
บทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีรักษา "เริมที่ปาก" ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 ผู้ป่วยมักจะมีตุ่มน้ำเล็กๆ ผุดขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณริมฝีปาก เมื่อตุ่มแตกแล้ว จะกลายเป็นแผลตกสะเก็ดอยู่ประมาณ 2-3 วัน โดยก่อนที่จะมีตุ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดแสบหรือคันบริเวณรอยโรคได้
1. ใช้ยาทาเริม คือ กลุ่ม acyclovir Zovirax, Virogon, Vilerm, Zevin ฯลฯ
2. ใช้ยากิน ใช้ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย คือ Zovirax, Valtrex, Famvir ต้องให้แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นผู้สั่งยาเท่านั้น และยากลุ่มนี้มีราคาสูงพอสมควรค่ะ
3. ปล่อยให้หายเอง กรณีที่เป็นไม่มาก และร่างกายมีภูมิต้านทานดีอยู่แล้ว เริมก็สามารถหายเองได้ ใน 3-5 วัน
4. หลีกเลี่ยงปัจจัยชักนำที่ระบุไว้ด้านล่าง จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคเริมได้ค่ะ
1. ความเครียด ข้อนี้สำคัญ! ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะความเครียดไม่ได้เป็นแค่บ่อเกิดของโรคเริมเท่านั้น แต่ยังพ่วงโรคอื่นๆ มาด้วยอีกมากมาย ดังนั้นพยายามหาเวลาผ่อนคลายอารมณ์ ปล่อยวางเรื่องที่กังวลลงบ้าง หากเรายิ่งเครียดมากโรคก็จะรุมเร้าหนักขึ้น คราวนี้อาจจะเครียดมากกว่าเดิมนะคะ
2. อย่าหักโหมทำงานหนักเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้า ภูมิต้านทานของร่างกายจะลดน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
3. นอนให้ถูกหลัก โดยปกติร่างกายคนเราจะได้พักผ่อนจริงๆในช่วงเวลา 4 ทุ่ม - ตี 2 หากเราไม่ได้นอนในช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย เหมือนไม่ได้พักผ่อน เป็นเหตุให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และเพิ่มโอกาสติดเชื้อไวรัสมากกว่าคนทั่วไป
4. หลีกเลี่ยงอากาศร้อนชื้น อบอ้าว ที่ทำให้เหงื่อออก เพราะเชื้อไวรัสเริมมักจะกำเริบได้ง่ายในอากาศร้อนแบบนี้ คนไทยจึงเป็นเริมกันมาก
5. อย่าปล่อยให้ตัวเองไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้กาฬหลังแอ่น สครับไทฟัส ทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น เพราะร่างกายจะทรุดโทรมอ่อนแอ โอกาสติดเชื้อไวรัสเริมจึงมีมากกว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงค่ะ
6. ผู้ที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนานๆ เช่น เป็นอัมพาต ผู้ที่รับการผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีกระดูกหัก ฯลฯ ทำให้ขยับตัวลำบาก ก็มีโอกาสเป็นเริมที่ก้นได้ง่ายเช่นกัน เพราะบริเวณนั้นมีความร้อนสะสม มีความอับชื้นเกิดขึ้นง่าย เริมจะชอบเกิดในบริเวณเหล่านี้ค่ะ
7. เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ต่างๆ รวมถึงอาหารแสลง ผู้ที่เคยเป็นเริมแล้วถ้าวันไหนดื่มเหล้าเบียร์มากจนเกินไปจะมีโอกาสเป็นเริมซ้ำขึ้นได้อีกง่ายมาก ฯลฯ
หากเป็นเริมและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของเริมได้ โดยการติดเชื้ออาจลุกลามไปที่อวัยวะอื่น ๆ หากติดเชื้อที่รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
สามารถปรึกษากับพวกเรา Poonrada Yathai ได้เสมอนะคะ (ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
LINE ID: @Poonrada
TEL: 086-955-6366, 091-546-9415
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทยประยุกต์
"พื้นฐานของสุขภาพดีคือการใส่ใจดูแลธาตุทั้ง 4 ของร่างกาย ให้สมดุลกันเสมอ"