เริม เป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ โดยผู้ติดเชื้อจะมีตุ่มใสขนาดเล็กเกิดขึ้นบริเวณปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา เมื่อติดเชื้อนี้แล้ว เชื้อจะไปฝังตัวอยู่ในปมประสาท เมื่อผู้ติดเชื้อหายจากอาการต่าง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายจากโรคนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอ ก็สามารถกลับมาแสดงอาการของโรคนี้ได้อีกครั้ง แต่จริงๆแล้วโรคนี้ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงหรืออันตราย วันนี้ Poonrada Yathai มีความรู้เกี่ยวกับโรคเริม แนวทางป้องกันและรักษามาฝากกันค่ะ
เริม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 ก่อให้เกิดอาการบริเวณริมฝีปากเป็นส่วนใหญ่ หรือบริเวณเหนือสะดือขึ้นไป
ชนิดที่ 2 ก่อให้เกิดอาการบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนักโดยอาการของโรคจะเกิดตุ่มใสขนาดเล็ก มีน้ำอยู่ข้างใน และปวดแสบบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา
เมื่อผ่านไปประมาณ 4 วัน ตุ่มใสเหล่านั้นจะเริ่มแห้งและตกสะเก็ด โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการค่อนข้างหนักและรุนแรง มักเป็นได้นาน 10-14 วัน ขณะที่การเป็นเริมครั้งหลัง ๆ อาการจะอยู่เพียงไม่เกิน 8 วัน โดยก่อนเกิดตุ่มใสผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือมีอาการคล้ายหวัดแต่เป็นอาการเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยสามารถแสดงอาการของโรคเริมได้1-4 ครั้งต่อปี ในผู้ป่วยโรคเอดส์พบว่าจะมีอาการของโรคเริมบ่อยและรุนแรงกว่า ดังนั้นแพทย์อาจตรวจหาเชื้อเอชไอวีร่วมด้วยในผู้ป่วยรายที่น่าสงสัย
เริมนั้นไม่เหมือนกับร้อนใน โดยร้อนในเป็นตุ่มแดงหรือขาวที่เจ็บอยู่ด้านในช่องปาก มักเกิดบริเวณเหงือก ด้านในริมฝีปากหรือแก้ม หรือบนลิ้นและไม่เกิดตุ่มใสหรือแห้งเป็นสะเก็ด อีกทั้งร้อนในไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ และไม่ใช่โรคติดต่อ
- ตุ่มใสของอีสุกอีใสจะมีฐานสีแดงอยู่โดยรอบและมีอาการคัน ในขณะที่ตุ่มใสของเริมนั้นไม่มีฐานและมีอาการเจ็บแสบบริเวณแผลค่ะ
- งูสวัดนั้นเกิดจากการติดเชื้อเดียวกับอีสุกอีใส ทำให้อาการโดยทั่วไปใกล้เคียงกัน อาการที่เด่นชัดของงูสวัดคือปวดแสบปวดร้อน บางรายปวดเหมือนโดนไฟช็อต ซึ่งบริเวณที่เป็นงูสวัดคือผิวหนังตามเส้นประสาท
- ส่วนเริมนั้นเป็นมากบริเวณปากและอวัยวะเพศค่ะ โดยหากผู้ป่วยสงสัยว่ากำลังเป็นโรคเหล่านี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่ควรวินิจฉัยเอง ควรพบแพทย์ดีกว่าค่ะ
ระยะที่1 อาการเริ่มแรกของโรคเริมคือ รู้สึกอ่อนเพลีย มีอาการคล้ายเป็นไข้ หากมีไข้สูงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ หรือหากมีตุ่มลามมากเป็นกลุ่มบริเวณผิวหนัง ก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน
ระยะที่2 ผู้ป่วยที่มีตุ่มขึ้นบริเวณรอบดวงตาควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะดวงตาเป็นริเวณที่ติดเชื้อได้ง่าย อาจมีอาการเจ็บตา เคืองตา และมีน้ำตาไหลร่วมด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ
เมื่อตุ่มน้ำเริ่มมีหนองอยู่ข้างใน อาจกำลังติดเชื้อแบคทีเรีย ควรรีบพบแพทย์ เพื่อรับยาปฏิชีวนะในการรักษา อย่าซื้อยามากินเองเพราะอาจอันตรายได้ ไม่ต้องรอให้แผลลุกลามใหญ่โตก็สามารถไปพบแพทย์ได้เลย เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
เริมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเชื้อที่อยู่บริเวณแผล จากน้ำในตุ่มใส น้ำลาย การมีเพศสัมพันธ์หรือกิจกรรมทางเพศ รวมถึงการใช้ข้าวของต่าง ๆ ร่วมกับผู้ป่วยโรคเริม เช่น แก้วน้ำ ผ้าขนหนู ช้อนส้อม ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน หากคุณแม่ต้องคลอดลูกขณะมีอาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศ ลูกที่กำลังจะคลอดสามารถติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ได้ทั้งสองชนิด ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารก จนอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำวิธีผ่าคลอดเพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อของเชื้อ อย่างไรก็ดีคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เคยมีอาการของโรคเริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
- ไม่ตากแดดหรืออยู่ในที่ที่อากาศเย็นเป็นเวลานานหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าขนหนู ช้อนส้อม มีดโกนหนวด เป็นต้น
- งดเพศสัมพันธ์ จนกว่าแผลจะหายดี
อย่างที่ได้บอกไว้ข้างต้นว่าเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ มาแล้วจะไปฝังตัวอยู่ในปมประสาท ทำให้สามารถกลับมามีอาการของโรคเริมอีกได้ ไม่หายขาด แต่เราสามารถดูแลตนเองเพื่อให้ความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ดังนี้
เริมจะออกอาการเมื่อภูมิคุ้มกันของผู้ได้รับเชื้อต่ำลง ดังนั้นจึงต้อง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเครียดหรือวิตกกังวล ไม่อยู่ในที่แดดจัด มีลมแรง หรืออากาศหนาวเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่ว กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และช็อกโกแลต เพราะมีงานวิจัยออกมาว่าอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เริมกลับมามีอาการซ้ำ
- รักษาสุขอนามัย โดยรักษาความสะอาดของแผลและตุ่มพอง ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังจับแผล ตัดเล็บให้สั้นและไม่เกาแผลเพราะอาจทำให้ติดเชื้อจนเป็นหนองได้
- หากมีไข้สูงควรเช็ดตัวอย่างสม่ำเสมอ หรือหากปวดแสบคันที่แผลอย่างรุนแรงให้ไปพบแพทย์
หากเราบำรุงรักษาร่างกายเป็นอย่างดี โอกาสที่โรคเริมจะกลับมาแสดงอาการก็ย่อมน้อยลง แต่ละครั้งอาการก็จะรุนแรงไม่มาก โดยสมุนไพรที่ใช้รักษาเริม คือ สมุนไพรกลุ่มที่รักษาโรคผิวหนัง และบำรุงระบบน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเรา ซึ่งสมุนไพรเหล่านั้นได้แก่
1.ทองพันช่าง สมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน ขับพยาธิตามผิวหนังและบาดแผล
2.เหงือกปลาหมอ สมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้ไข รักษาฝี แก้แผลอักเสบ แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคผิวหนังที่พุพอง แผลเรื้อรังและผื่นคันตามร่างกาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร
"สมุนไพร คือ ของขวัญจากธรรมชาติ เราจึงตั้งใจมอบสมุนไพรที่ดีที่สุด ให้ถึงมือคุณ"
แพทย์แผนไทย
" ความมั่งคั่งที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี สมดุล แข็งแรง "